ผมสังเกตว่าช่วงนี้มีหลายเว็บที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวแนะนำในเรื่องของการพกยาไปเที่ยวว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง แต่คำแนะนำนั้นส่วนมากไม่รู้ว่ามีที่มามาจากไหน และก็ไม่รู้ว่าคนที่แนะนำเนี่ยเป็นบุคลากรทางการแพทย์จริงหรือเปล่า ผมเลยคิดว่าในฐานะที่ผมเองก็เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้คำแนะนำคนไข้มาประมาณนึงแล้วก็ชอบเที่ยวด้วย น่าจะเขียนไว้ว่าเวลาผมเที่ยวเองนั้นผมเตรียมยาอะไรบ้างครับ
โดยส่วนมากแล้วผมเองไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไรสลักสำคัญมากนัก ถ้าใครมีโรคที่แพทย์แนะนำให้เตรียมยาแล้วละก็อย่าลืมที่จะเตรียมยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำไปด้วยนะครับ โรคประจำตัวอย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน ถึงเราจะไปเที่ยวเราก็ควรจะควบคุมโรคที่เป็นอยู่ให้ดีนะครับ ตอนกลับถึงบ้านโรคจะได้ไม่กำเริบไปมากกว่าเดิมให้หมอที่ดูอยู่บ่นให้หูชา
ยาและเวชภัณฑ์ที่ผมเตรียมไปเรียงดังต่อไปนี้ครับ
สรุปว่าผมเอาไปแค่นี้ละครับ น่าจะเป็นยาที่จำเป็นจริงๆ และราคาก็ไม่แพงมากในการเตรียมด้วยครับ เป็นยาสามัญๆ ทั่วๆ ไปที่ค่อนข้างปลอดภัยครับ แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเวลาไปเที่ยวแล้วไม่สบายขึ้นมาผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการหายให้เร็วที่สุดคือการพักผ่อนครับ ยอมเสียสักวันหนึ่งถ้าเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สบาย วันถัดมาก็อาการดีขึ้นเที่ยวต่อได้สนุกแล้วครับ ดีกว่าต้องมาทนกับอาการที่ยังไม่หายๆ กันจนจบทริปครับ และเหนือสิ่งอื่นใด สุขภาพเราสำคัญกว่าการเที่ยวครับ เรากลับมาเที่ยวใหม่อีกรอบก็ได้ แต่บางครั้งเราอาจไม่สามารถเอาสุขภาพเรากลับคืนมาได้นะครับ
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทยาใดๆ ครับ
- Paracetamol (ชื่อยี่ห้อคือ Sara, Tylenol, Para GPO ฯลฯ) แน่นอนว่าเป็นยาที่ทุกคนรู้จักดี ไว้แก้ปวดหัวนิดๆ หน่อยๆ หรือเริ่มๆ จะมีไข้นะครับ ปัจจุบันแนะนำให้กินแค่ 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด (กิน 2 เม็ดนี่ต้องอ้วนมากเป็นร้อยกิโลจริงๆ เพราะยาคิดตามน้ำหนักตัว, กินเยอะๆ มากเกินเหตุอาจจะทำให้ตับวายได้ครับ) กินถี่ที่สุดได้ 4 ชั่วโมงครับ และก็ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นสัปดาห์ ซึ่งถ้าต้องกินขนาดนั้นกลับบ้านเหอะไม่ต้องเที่ยวต่อแล้ว
- ยาแก้อาการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-inflammatory Drug) เป็นกลุ่มของยาลดอาการอักเสบ ซึ่งเน้นในการอักเสบของกล้ามเนื้อครับ (ยาแก้อักเสบ ไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อนะครับ) อันนี้เจอมากับตัวเวลาเดินเยอะๆ แล้วปวดขามาก กิน Paracet บางทีเอาไม่อยู่ครับ ยาในกลุ่มนี้สามารถใช้ลดไข้สูงได้ด้วยครับ แต่ส่วนมากผมกินพาราไข้ก็ลงทุกครั้งเลยนะ คุณผู้หญิงเองก็กินแก้ปวดประจำเดือนได้ครับ ข้อเสียของยาในกลุ่มนี้คือมันกัดกระเพาะครับ ไม่ควรทานตอนท้องว่างนะครับเดี๋ยวจะปวดท้องหรือเป็นแผลในกระเพาะครับ ยาในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น
- Diclofenac (ชื่อทางการค้า Voltaren) ขนาดสำหรับทานเป็นเม็ดละ 25 มิลลิกรัม ทานถี่สุดคือเช้ากลางวันเย็นครับ เม็ดละห้าสิบสตางค์ (ราคาที่รพ.รัฐขาย)
- Ibuprofen (ชื่อยี่ห้อคือ Brufen) ขนาดสำหรับทานเม็ดละ 400 มิลลิกรัม ถี่สุดเช้ากลางวันเย็นเหมือนกัน เม็ดละบาท
- Arcoxia, Celebrex พวกนี้เป็นยาราคาแพงครับ เม็ดละสี่สิบห้าสิบบาท ส่วนมากผมไม่ค่อยได้ใช้เองเพราะมันเปลือง ไม่ได้ออกฤทธิ์แก้ปวดมากกว่า Diclofenac หรือ Ibuprofen เท่าไหร่หรอก
- Mefenamic Acid ชื่อนี้อาจดูไม่คุ้นสำหรับบางคน แต่จริงๆ มันคือยาที่ขายกันในชื่อการค้า Ponstan ไว้แก้ปวดประจำเดือนนั่นแหละครับ จริงๆ มันก็เหมือนกับยาในกลุ่ม คือจะเอามากินแก้ปวดเมื่อยก็ได้ หรือจะเอาตัวอื่นไปกินแก้ปวดประจำเดือนแทนก็ได้ ซึ่งยาพวกนี้ปกติผมจะพกไปแค่ชนิดเดียวครับ (ตัวที่ชอบคือ Ibuprofen)
- ยาแก้ปวดท้องโรคกระเพาะ ผมเองเป็นคนที่ปวดท้องบ่อยๆ และบางที่ก็ท้องอืดเวลากินน้ำอัดลมเยอะๆ ครับ ส่วนมากผมก็จะพกยากระเพาะติดตัวไปด้วย ซึ่งผมแยกออกเป็น
- ยาน้ำสำหรับแก้ท้องอืดหรือปวดท้องเบื้องต้น ส่วนมากพวกนี้มักเป็นยาน้ำ ที่ผมใช้บ่อยๆ ก็ Alum Milk ราคาก็ขวดละสิบห้าบาทครับ ถ้าอยากหรูหราหน่อยก็พกพวก Gaviscon ไปก็ได้ มันมีแบบซองด้วย แต่ผมว่ามันแพงไปหน่อย
- ยาสำหรับโรคกระเพาะ ผมเองเคยเป็นโรคกระเพาะครับเลยติดเอาไปด้วย พวกนี้ก็เช่น Omeprazole (ชื่อทางการค้า Miracid), Lanzoprazole, Esomeprazole ฯลฯ ส่วนตัวผมใช้ Omeprazole เพราะมันเม็ดละบาท
- พลาสเตอร์ปิดแผล เบตาดีนใส่แผล สำลีพันปลายไม้ (Cotton Buds) อันนี้ผมได้มีโอกาสใช้บ่อยเลยครับ เวลาเราไปเที่ยวบางทีเราก็ไม่ค่อยจะระวังตัว เดินลื่นบ้าง เผลอเอามือไปเกี่ยวกิ่งไม้หรืออะไรคมๆ บ้าง อุปกรณ์ในการทำแผลผมว่ามีความจำเป็นอย่างมากครับเวลาเป็นแผล ถ้าเกิดเป็นแผลขึ้นมาแนะนำให้ล้างแผลก่อนด้วยน้ำสะอาดครับ น้ำก๊อกก็ได้ หลังจากนั้นซับแผลด้วยทิชชู่เบาๆ ให้แห้ง ถ้าเลือดออก ให้กดไว้สักห้านาทีจนเลือดหยุด แล้วค่อยทาเบตาดีน (ถ้ากดนานแล้วเลือดไม่หยุด หรือแผลกว้าง อาจจะต้องไปโรงพยาบาลแล้วเย็บแผลนะครับ) สิ่งที่แนะนำคือตัวเบตาดีนนี่ต้องหาซองซิปล็อกมาใส่ดีๆ นะครับ ไม่งั้นมันจะหกอยู่ในกระเป๋าเดินทางนั่นแหละแถมซักไม่ออกอีกตะหาก ผมหกมาหลายรอบแล้วครับ
- ยาบรรเทาอาการน้ำมูก ยาแก้แพ้
อันนี้ผมขอแนะนำก่อนครับ ว่ายากลุ่มนี้จะมีอยู่ด้วยกันสองอย่าง - ยาลดน้ำมูก (Decongestant) พวกนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งไม่ให้น้ำมูกไหลครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นภูมิแพ้หรือไม่เป็นภูมิแพ้ ก็สามารถทานได้ถ้ามีน้ำมูกเยอะ เช่นตอนเป็นหวัด ยากลุ่มนี้เช่น
- Pseudoepherine (Maxiphed, Sudafed)
- Phenylephrine
- Oxymethazoline ตัวนี้มีแต่แบบพ่นไปในจมูกครับ และต้องสั่งโดยแพทย์
แต่ต้องระวังเพราะยากลุ่มนี้เป็นกลุ่มควบคุม บางประเทศเช่นญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้เอายาในกลุ่มนี้เข้าประเทศครับ - ยาแก้แพ้ (Antihistamine) พวกนี้ออกฤทธิ์โดยการต้านอาการแพ้ (อาการแพ้คืออาการที่ร่างกายตอบสนองกับสารกระตุ้นให้แพ้มากเกินปกติ) พวกนี้ถ้าสาเหตุของอาการไม่ได้เกิดจากการแพ้ (แพ้ที่จมูกเช่น คันจมูก แพ้ที่ผิวหนังเช่น คันผิวหนังเป็นผื่นลมพิษ) มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมีแต่จะง่วงนอน ยาในกลุ่มนี้มีเยอะมากครับ แต่ใครที่เป็นภูมิแพ้คงรู้จักดีอยู่แล้ว เช่น Chlorpheniramine, Cetirizine, Loratadine, Levocetirizine, Desloradatine, Fexofenadine ครับ
หลายๆ คนคงมีน้ำมูกง่ายหรือบางคนมีอาการแพ้โดยเฉพาะเวลาไปเจอควันหรือที่อับๆ ยิ่งถ้าคุณเป็นภูมิแพ้อยู่แล้วผมว่ายาลดน้ำมูกและยาแก้แพ้สำคัญครับ รวมถึงเวลาที่ถ้าจะต้องขึ้นเครื่องแล้วดันมีน้ำมูกเยอะ อาจจะทำให้มีอาการปวดหูเวลาเครื่องบินลงได้ครับ แล้วจะไม่สนุกเลย ในฐานะของหมอหูคอจมุกแล้วถ้าเป็นหวัดจะแนะนำให้คนไข้ทานหรือพ่นยาในกลุ่มลดน้ำมูกก่อนเครื่องเปลี่ยนแปลงความดันสักครึ่งชั่วโมงครับ ยาที่แนะนำคือยา Pseudoephedrine ขนาดที่แนะนำคือ 30-60 mg ครับ ข้อเสียคือกินแล้วอาจจะมีหัวใจเต้นเร็ว (ผมเองก็เป็นเวลากิน 60 mg ก็ใช้วิธีลดเหลือกินครึ่งเม็ด 30 mg เอาครับ แต่..ยาตัวนี้ไม่มีขายตามร้านขายยาแล้วครับ ผมคิดว่าอาจจะต้องหายาตัวอื่นแทนถ้าคุณไม่สามารถไปหาหมอได้ - ผงเกลือแร่แก้ท้องเสีย ส่วนมากบางทีผมก็พกไปครับ แต่หลายๆ ครั้งผมไม่ใช้ เหตุเพราะเราสามารถหาเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือชงเกลือแร่เองได้ง่ายๆ จากอุปกรณ์ตามบ้าน สิ่งที่ต้องการก็มีแค่น้ำสะอาดประมาณ 750 ซีซี น้ำตาลสองช้อนโต๊ะ เกลือหนึ่งช้อนโต๊ะแค่นี้ครับ แล้วทำไมจะต้องพกไปให้หนักกระเป๋า
- ยาแก้เมารถเมาเรือ อันนี้แล้วแต่คนครับ แต่ผมเองไม่ได้เมารถง่ายขนาดนั้นเลยไม่ได้พกไป แต่ถ้าจะพกเอาจริงๆ คงเอา Dimenhydrinate (ชื่อทางการค้า Dramamine) ไปตัวเดียวครับ กินเม็ดเดียวก็น่าจะหายเมาแล้ว (เพราะผลข้างเคียงคือง่วงมาก ก็จะง่วงหลับไปเลย)
สรุปว่าผมเอาไปแค่นี้ละครับ น่าจะเป็นยาที่จำเป็นจริงๆ และราคาก็ไม่แพงมากในการเตรียมด้วยครับ เป็นยาสามัญๆ ทั่วๆ ไปที่ค่อนข้างปลอดภัยครับ แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเวลาไปเที่ยวแล้วไม่สบายขึ้นมาผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการหายให้เร็วที่สุดคือการพักผ่อนครับ ยอมเสียสักวันหนึ่งถ้าเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สบาย วันถัดมาก็อาการดีขึ้นเที่ยวต่อได้สนุกแล้วครับ ดีกว่าต้องมาทนกับอาการที่ยังไม่หายๆ กันจนจบทริปครับ และเหนือสิ่งอื่นใด สุขภาพเราสำคัญกว่าการเที่ยวครับ เรากลับมาเที่ยวใหม่อีกรอบก็ได้ แต่บางครั้งเราอาจไม่สามารถเอาสุขภาพเรากลับคืนมาได้นะครับ
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทยาใดๆ ครับ
คุณหมอน่ารักที่สุดเลยค่ะ เขียนเก่งค่ะอ่านสบายๆ
(เป็นคนไข้คุณหมอด้วยค่ะ)